![“โรงไฟฟ้าชุมชน” จะกลายเป็นหวยที่ถูกแจ็คพอต](https://erdi.cmu.ac.th/wp-content/uploads/2020/04/wfh-12.png)
“โรงไฟฟ้าชุมชน” จะกลายเป็นหวยที่ถูกแจ็คพอต
ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไรกับรัฐบาลปัจจุบันนี้ แต่ท่านคงต้องยอมรับแนวคิดเชิงอัจฉริยะในเรื่องของโรงไฟฟ้าชุมชน ที่มีมานานแต่ขาดผู้มีอำนาจตัดสินใจ ก่อนหน้านี้จะมีใครคิดไหมว่า “โรงไฟฟ้าชุมชน” จะกลายเป็นหวยที่ถูกแจ็คพอต เมื่อโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างไวรัส COVID-19 บานปลายจากจีนขยายตัวไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ทำลายเศรษฐกิจทั้งระบบของโลก “ประเทศไทย” โชคยังดีที่เป็นครัวของโลก และมีระบบสาธารณสุขที่ค่อนข้างเข้มแข็ง ถึงแม้ประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ จะปิดประเทศกันอย่างไร คนไทยก็ยังจะมีข้าวมีน้ำพริกปลาทูกินอย่างสบาย ๆ
สำหรับผู้บริหารประเทศแล้ว คงต้องมองข้ามไปถึงว่า จะฟื้นฟูซากปรักหักพังทางเศรษฐกิจอย่างไรหลังพ้นภัยไวรัส COVID-19 .. ดังนั้น โรงไฟฟ้าชุมชน 700 MW โดยกระทรวงพลังงานเป็นเจ้าของแนวคิด มูลค่าการลงทุนเกือบหนึ่งแสนล้าน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจกว่าห้าแสนล้านบาท และที่สำคัญใช้เครื่องจักรอุปกรณ์และแรงงานในประเทศกว่าร้อยละ 60 (60% Local Content)
นอกจากนี้ชุมชนทั่วประเทศกว่าห้าหมื่นครัวเรือน จะมีส่วนได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเข้าไปถือหุ้นบุริมสิทธิในโรงไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 พร้อมสัญญา Contact Farming ประกันราคาขายเชื้อเพลิงเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี และยังสามารถร่วมบริหารกองทุนหมู่บ้านก้อนโตที่ภาครัฐหักจากค่าไฟฟ้าที่จำหน่าย ถึงหน่วยละ 25-50 สต. ตลอดอายุโครงการ 20 ปี และผลประโยชน์ทางอ้อมอื่น ๆ อีกมากมาย
![ชีวมวล (Biomass)](https://www.greennetworkthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/biomass-02.jpg)
จึงขอฟันธงว่า โรงไฟฟ้าชุมชน 700 MW คือเฟืองตัวเล็ก ๆ อีกตัวที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฐานรากหลังสงครามไวรัส COVID-19 โดยคนไทย เพื่อคนไทย และของคนไทยอย่างแท้จริง …
สำหรับท่านที่ไม่สันทัดกรณีโรงไฟฟ้าชุมชน ขออธิบายเพิ่มเติมว่า โรงไฟฟ้าชุมชนทั้งหมด 700 MW ที่ชุมชนมีส่วนได้ ไม่ใช่แค่ส่วนร่วมเหมือนโครงการอื่น ๆ แบ่ง 100 MW ให้กลุ่มที่สร้างเสร็จหรือเกือบเสร็จ คือกว่า 80% แล้ว แต่ยังไม่มีสายส่งให้ขายไฟได้ ส่วนอีก 600 MW เป็นโรงไฟฟ้าที่พัฒนาใหม่อาจแยกตามที่มาของเชื้อเพลิง คือ 1. โรงไฟฟ้าก๊าชชีวภาพจากพืชพลังงาน 2. โรงไฟฟ้าชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ภาคเกษตรและการปลูกไม้โตเร็ว 3. การผลิตไฟฟ้าจากเศษเหลือทิ้งในโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม โรงงานแป้งมัน เป็นต้น แต่ที่จะข้อเจาะลึกในฉบับนี้ก็คือ “โรงไฟฟ้าชีวมวล (BIOMASS)”
![ชีวมวล (Biomass)](https://www.greennetworkthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/biomass-05.jpg)
ทำไมจึงมีผู้สนใจและวิพากษ์วิจารณ์โรงไฟฟ้าชีวมวลกันค่อนข้างมาก คงเข้าใจได้ไม่ยาก เนื่องจากจุดเริ่มต้นของโรงไฟฟ้าชุมชนได้มีการขายแนวคิดในการใช้เศษเหลือทิ้งจากการเก็บเกี่ยวพืชไร่ เช่น ข้าว อ้อย ไม้ไผ่ ข้าวโพด รวมทั้ง เศษจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์ โรงงานทำตะเกียบ ซึ่งปัจจุบันชีวมวลเหล่านี้มีทั้งที่ขายและเผาทิ้ง เนื่องจากเก็บรวบรวมได้ยาก ค่าขนส่งแพง ถูกโรงงานรับซื้อกดราคา โดยครั้งแรกจะส่งเสริมให้เกิดโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ๆ 1.5 เมกะวัตต์ โดยใช้เชื้อเพลิงรอบ ๆ โรงไฟฟ้า ตามข่าวที่ฮือฮามาเกือบปีแล้ว ต่อมากระทรวงพลังงานอาจต้านทานกระแสการเมืองและนักลงทุนไม่ได้ จึงขยายจาก 1.5 เมกะวัตต์ เป็น 3 เมกะวัตต์ และวันนี้กลายเป็น 9.9 เมกะวัตต์ (VSPP) ทั้ง BIOMASS และ BIOGAS สำหรับชีวมวล ไม่ได้มีการส่งเสริมให้ปลูกไม้โตเร็ว เป็นพิเศษแต่อย่างใด เชื้อเพลิงจะมาจากแหล่งใดก็ได้ อีกทั้งเพิ่มระยะทางการจัดหาชีวมวลได้ไกลถึง 100 กิโลเมตร และก็ยังไม่มีมาตรการ แก้ปัญหาเชื้อเพลิงที่ทับซ้อนกันในแต่ละพื้นที่ จึงมีผู้ยกคำเปรียบเปรยว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา เหมือนบทเพลงรำวงที่ฮิตในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว
![ชีวมวล (Biomass)](https://www.greennetworkthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/biomass-01.jpg)
ชีวมวล (Biomass) ในประเทศไทย ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านพลังงานได้ดี ส่วนใหญ่มาจากเศษวัตถุดิบเหลือใช้ทางการเกษตร มีจำนวนค่อนข้างมาก อาทิ เศษไม้ยางพารา ทะลายกะลา/ปาล์มน้ำมัน ฟางข้าว กากอ้อย ใบอ้อย ซังและต้นข้าวโพด เหง้ามันสําปะหลัง เศษเหลือใช้จากต้นไผ่ ซึ่งข้อมูลด้านปริมาณโดยรวมของชีวมวลต่อปีหาข้อมูลปัจจุบันได้ยากจึงได้แต่ประมาณการ ขอนำตารางปริมาณและค่าความร้อน มาเป็นแนวทางในการประเมินศักยภาพ ซึ่งในการปฏิบัติแล้วเศษวัสดุเหล่านี้ค่อนข้างมีต้นทุนในการจัดเก็บ และรวบรวมขนส่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับราคาที่จะขายได้
สำหรับอ้อย มีการปลูกเกือบ 10 ล้านไร่ทั่วประเทศ กว่า 50% เป็นการเผาใบทิ้งก่อนการตัดส่งโรงงาน ซึ่งมีผลเสียด้านฝุ่นละออง PM 2.5 ดังนั้นในอนาคต เมื่อไม่สามารถเผาได้ คาดว่าจะมีใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลเพิ่มขึ้นอีกในปริมาณมาก
![ชีวมวล](https://www.greennetworkthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/biomass-community-power-plant-t01.jpg)
ไม่ว่าโรงไฟฟ้าชุมชน ในกลุ่มของชีวมวลจะออกมาเป็นแบบใด แต่ชุมชนก็ยังคงได้รับประโยชน์ อย่างน้อย 200 ครัวเรือนต่อ 1 โรงไฟฟ้า แต่สิ่งที่กระทรวงพลังงานควรคำนึงก็คือ โครงการที่ใช้เชื้อเพลิง ประเภทใบอ้อย ฟางข้าว ซังและต้นข้าวโพด ซึ่งกระจายอยู่ทั่วภาคเหนือและภาคอีสาน ต้นทุนการรวบรวมและขนส่งค่อนข้างสูง น่าจะมีแต้มต่อ เชื้อเพลิงประเภทไม้สับจากไม้ยืนต้น ดังนั้นภาครัฐเองน่าจะ ใช้โอกาสนี้ส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นโตเร็วเพื่อใช้เป็นชีวมวลในระยะยาว
![ชีวมวล (Biomass)](https://www.greennetworkthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/biomass-03.jpg)
ประการสำคัญที่สุด ต้องคำนึงถึงว่านี่คือโรงไฟฟ้าของชุมชน การคัดเลือกโครงการ ต้องคำนึงถึงเชื้อเพลิงจากท้องถิ่นเป็นสำคัญ โดยไม่ใช้วิธีคัดเลือกโครงการจากความพร้อมและครบถ้วนของเอกสารเป็นสำคัญเหมือนโครงการที่ผ่านๆ มา มิเช่นนั้นแล้ว ใบอ้อย ฟางข้าว ซังข้าวโพด ฯลฯ ก็คงจะเน่าคาพื้นดิน และต้องเผาทิ้งสร้าง PM 2.5 กันเหมือนเดิม
Source: คอลัมน์ Green Focus โดย พิชัย ถิ่นสันติสุข